“วังทองกรุ๊ป”เปลี่ยนผ่านสู่ทายาท Gen2 “หทัยชนก เจษฎาวรางกูล”

  • Post author:
You are currently viewing “วังทองกรุ๊ป”เปลี่ยนผ่านสู่ทายาท Gen2 “หทัยชนก เจษฎาวรางกูล”

 

พูดถึงวังทอง กรุ๊ป ถือกำเนิดเมื่อปี 2527 นำโดย “โกศล เจษฎาวรางกูล” และ “นำชัย ตันฑเทอดธรรม” จัดว่าเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯรายแรกๆที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบโครงการแรก ภายใต้ชื่อ “บ้านวังทอง ดอนเมือง” หลังจากนั้นได้มารุกตลาดในย่านรังสิต-ลำลูกกา  ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดกรุงเทพฯโซนเหนือมาจนถึงปัจจุบัน จนกระทั่งปี 2536 “วังทอง กรุ๊ป” ได้สูญเสียหัวเรือใหญ่อย่าง “โกศล เจษฎาวรางกูล”ไป ส่งผลให้ “นำชัย ตันฑเทอดธรรม”แยกตัวออกไปตั้ง บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด(ชื่อบริษัทในขณะนั้น)เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาฯเอง  และ”โกมล-เสาวนีย์ เจษฎาวรางกูล” ผู้เป็นน้องชาย-น้องสาวรับไม้ต่อบริหารและพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของวังทอง กรุ๊ป ต่อไป จนถึงยุค “ปราโมทย์ เจษฎาวรางกูล” และได้เงียบหายไปหลายปี แต่กลุ่มวังทอง กรุ๊ป ก็ยังมีการพัฒนาโครงการในโซนกรุงเทพฯตอนเหนืออย่างเงียบๆต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี 2559  “ภาสกร-หทัยชนก เจษฎาวรางกูล” ผู้เป็นทายาทสายตรงของ “โกศล เจษฎาวรางกูล” ได้เข้ามานั่งแท่นตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ และ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วังทองกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จนถึงปัจจุบัน
ผ่าตัดโครงสร้างล้างภาพการทำงานแบบ “ครอบครัว”
นางสาวหทัยชนก เจษฎาวรางกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วังทองกรุ๊ป จำกัด(มหาชน) เปิดเผย ทีมข่าว “prop2morrow”ว่า ภายหลังจากตนและพี่ชาย คือ “นายภาสกร เจษฎาวรางกูล” เข้ามารับช่วงบริหารงานในวังทองกรุ๊ป ช่วงถือเป็น Generation ที่2 ต่อจากรุ่นบิดา และ อา ได้เข้ามาปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ทั้งหมดในรอบกว่า 30 ปี หลังจากที่ก่อตั้งบริษัทฯมา เพราะที่ผ่านมาองค์กรมีตำแหน่งที่ทับซ้อนกันมากเกินไป ทำให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ที่ผ่านมาบริษัทฯต้องแบกภาระต้นทุน ดังนั้นเพื่อให้บริษัทฯมีอัตราการเติบโตแบบยั่งยืน จึงดำเนินการใน 3 เรื่องหลักคือ

1.บริหารองค์กรแบบไม่ยึดกับระบบครอบครัว โดยให้พนักงานทุกคนสามารถแข่งขันกันด้วยความสามารถอย่างมีระบบ ระเบียบ ไม่ยึดติดกับนามสกุล “เจษฎาวรางกูล” ซึ่งการปรับโครงสร้างดังกล่าวใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปีจึงเร่ิมลงตัว

2.มีจุดยืนในการพัฒนาโครงการอย่างชัดเจน คือราคาคุ้มค่ากับตลาด และผู้ซื้อสามารถเอื้อมถึง อีกทั้งชูจุดแข็งด้านการก่อสร้างแบบดั้งเดิม ที่ไม่ใช้การก่อสร้างแบบพรีคาสท์ อย่างที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่หันมาใช้ในปัจจุบัน

3.สร้างแบรนด์ “วังทองกรุ๊ป” ให้มีความแข็งแกร่งขึ้น ด้วยการขยายฐานการพัฒนาโครงการไปยังทำเลอื่นมากขึ้น

“หลังจากที่จบการศึกษาด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้สั่งสมประสบการณ์จากบริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) และบริษัท ซีบีอาร์อี(ประเทศไทย)จำกัด อีกทั้งได้ไปศึกษาระดับปริญญาโทด้านอสังหาริมทรัพย์ต่อที่โคลัมเบีย และเข้ามาบริหารงานที่วังทองกรุ๊ป เป็นลำดับถัดมา จึงได้รับความรู้ในด้านการเลือกซื้อที่ดินในทำเลที่เหมาะสม รวมไปถึงการวิเคราะห์ตลาดอสังหาฯได้เป็นอย่างดี” นางสาวหทัยชนก กล่าว

ชูจุดแข็งบ้านแนวราบก่อสร้างแบบดั้งเดิมราคาถูกกว่าคู่แข่ง

นางสาวหทัยชนก กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาตนจะเน้นการควบคุมต้นทุนโครงการให้ได้มากที่สุด ด้วยการหาซื้อที่ดินเอง ในราคาที่ถูกกว่าตลาด แต่สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นได้ เพื่อที่ลูกค้าจะสามารถเลือกซื้อบ้านในราคาที่ถูกกว่า และยังเน้นจุดแข็งด้านการก่อสร้างระบบก่ออิฐฉาบปูนแบบดั้งเดิม ซึ่งมีความคงทนกว่าระบบพรีคาสท์ รวมไปถึงปรับรูปแบบจากในอดีตที่เน้นบ้านผ่อนดาวน์ มาเป็นบ้านสร้างเสร็จพร้อมโอน และราคาถูกกว่าคู่แข่งตั้งแต่ 10% ขึ้นไป เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า

ด้านยอด Reject ยอมรับว่าตั้งแต่ภาครัฐมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขในเรื่องมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 ส่งผลให้ยอด Reject  ปรับสูงขึ้นจากเดิมมีเพียง 10% เพิ่มขึ้นเป็น 40% แต่บริษัทฯก็พยายามปรับตัวด้วยการเร่งสร้างยอดขายให้มากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ โดยให้เท่ากับยอด Reject ที่เกิดขึ้น

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯนั้น ยังคงเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ ทั้งในรูปแบบบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม เป็นหลักเช่นเดิม แต่มีรูปแบบที่ทันสมัย และรุกการตลาดออนไลน์มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันการทำตลาดผ่านระบบออนไลน์ถึง 80% เพราะสามารถสร้างยอดขายเพิ่มและมีลูกค้าจากทำเลอื่นมาซื้อโครงการมากขึ้น

“การทำการตลาดในยุคอดีตของบริษัทฯจะอาศัยการ walk in เข้าเยี่ยมชมโครงการของลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันเราเน้นการตลาดแบบออนไลน์มากขึ้นถึง 80% ทำให้มีลูกค้าในทำเลอื่นมาซื้อโครงการในย่านรังสิต ลำลูกกา มากขึ้นกว่าเดิมถึงกว่า 10% ส่งผลช่วยให้ประหยัดงบการตลาดได้ถึง 50%”นางสาวหทัยชนก กล่าว

เล็งขยายฐานลูกค้าทำเลใหม่สร้างการเติบโต

นอกจากนี้ในปี 2565 ยังมีแผนขยายฐานลูกค้าไปทำเลสายไหม-วัชรพล-สุขาภิบาล 5 เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งทำเลที่บริษัทฯมีความชำนาญ โดยเบื้องต้นจะทดสอบตลาดก่อน ด้วยการพัฒนาบนพื้นที่แปลงเล็ก ขนาดไม่เกิน 20 ไร่ เน้นสินค้าแบรนด์ใหม่ ที่ราคาถูกกว่าตลาดประมาณ 20-30% ซึ่งผู้ประกอบการรายอื่นที่พัฒนาโครงการในทำเลดังกล่าว บ้านเดี่ยว จะขายในระดับราคา 7-8 ล้านบาทขึ้นไป ,ทาวน์โฮม 2 ชั้น จะขายในระดับราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป และทาวน์โฮม 3 ชั้น ขายในระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนจะพัฒนาในรูปแบบใดยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับที่ดินที่ซื้อมา

“การที่เราสนใจพัฒนาโครงการในย่านดังกล่าว เพราะเห็นว่าทำเลย่านรังสิต ลำลูกกา กระจายฐานลูกค้าครอบคลุมหมดแล้ว ดังนั้นจึงต้องการขยายฐานไปทำเลอื่นบ้าง ที่มีความชำนาญอยู่แล้ว เพื่อสร้างอัตราการเติบโตให้บริษัทอย่างยั่งยืน แต่ไม่เติบโตแบบก้าวกระโดด” นางสาวหทัยชนก กล่าว

สำหรับในปี 2564 จะยังคงเน้นการพัฒนาในทำเลโซนเหนือของกรุงเทพฯ คือ ย่านรังสิต อย่างต่อเนื่องเพราะดีมานด์ยังมีอยู่ ประกอบกับมองว่าเป็นทำเลที่มีความชำนาญมาช้านาน จึงมีความเข้าใจตลาดเป็นอย่างดี ทำให้ไม่มีความเสี่ยง  โดยมีแผนจะพัฒนาประมาณ 2 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 1,600 ล้านบาท ได้แก่

1.โครงการ “วรารักษ์ 2 รังสิต คลอง 3” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 50 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ขนาด 50 ตารางวา ราคา 4 ล้านบาท ,บ้านแฝด ขนาด 38 ตารางวา ราคา 3.1 ล้านบาทขึ้นไป และทาวน์โฮม ขนาด 19 ตารางวา ราคา 1.8 ล้านบาท รวมประมาณ 400 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 1,200 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส3/2564

2.โครงการ “เดอะ พาเลต รังสิต คลอง 4” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 20 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของทาวน์โฮม ขนาด 19 ตารางวา ราคา 1.9 ล้านบาท จำนวน 200 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 400 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส4/2564

ปัจจุบันบริษัทฯมีโครงการที่อยู่ระหว่างการเปิดขายทั้งสิ้น 6 โครงการ โดยมี 3 โครงการที่เปิดตัวเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา มียอดขายเฉลี่ยโครงการละประมาณ 20% ส่วนอีก 3 โครงการ มียอดเหลือขายเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อโครงการ

“ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา บริษัทฯสามารถทำยอดขาย-รายได้ที่สวนกระแส โดยในปี 2563 สามารถทำยอดรายได้ถึง 800 ล้านบาท แต่ในปี 2564 คาดว่าจะทำยอดรายได้ ได้มากกว่า 10%” นางสาวหทัยชนก กล่าว

อนาคต 4 ปี สนเข้าตลาดmai นำเม็ดเงินขยายการลงทุน

นางสาวหทัยชนก กล่าวเพิ่มเติมว่า ในอีกประมาณ 4 ปี มีแผนที่จะนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อหวังระดมทุนได้ง่าย และมีต้นทุนทางดอกเบี้ยที่ถูก เพื่อขยายการลงทุนพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันได้มอบหมายให้บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด(มหาชน)เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ในขณะนี้

ถือเป็นลูกไม้ที่หล่นใต้ต้น และน่าจับตาดูผลงานของ Gen2  “วังทอง กรุ๊ป”

toppercool

CEO,Prop2morrow Blogger อสังหาฯ , นักการตลาดดิจิตัล สาย Content marketing