SPALI ประกาศผุด 34 โครงการใหม่รับปีเสือ รวมมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท

  • Post author:
You are currently viewing SPALI ประกาศผุด 34 โครงการใหม่รับปีเสือ รวมมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท
ศุภาลัยฯคาดตลาดที่อยู่อาศัยปี 65 มีทิศทางบวกจากเรียลดีมานด์ โดยเฉพาะแนวราบ จะมีบ้านสูง 3-4 ชั้นมากขึ้น ส่วนตลาดต่างจังหวัดจะมีระดับราคา 30-40 ล้านบาทเพิ่มขึ้น ส่วนตลาดคอนโดฯ ที่จอดรถจะเป็นตัวแปรสำคัญในอีก 5 ปีข้างหน้า ลั่นปีเสือพร้อมเปิดตัวใหม่ 34 โครงการ รวมมูลค่า 40,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายในประเทศแตะ 28,000 ล้านบาท และรายได้ 29,000 ล้านบาท
นายประทีป ตั้งมติธรรม
นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2564 ที่ผ่านมาว่า จะขยายตัวเล็กน้อยจากปี 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงทวีความรุนแรง ผู้ประกอบการชะลอการเปิดโครงการใหม่ แต่โครงการแนวราบ ยังสามารถขายได้ในสัดส่วน 63% คอนโดฯขายได้ 38% แต่โดยรวมสินค้าเปิดใหม่ขายได้น้อยที่สุดสุดในรอบ 10 ปี แต่ยอดขายเพิ่มขึ้นจากปี 2563 อย่างชัดเจน

สำหรับทิศทางตลาดอสังหาฯในปี 2565 จะเป็นไปในทิศทางบวก ด้วยอุปทานจากกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือ เรียลดีมานด์ โดยเฉพาะสินค้าบ้านเดี่ยวที่มียอดขายทรงตัวแม้จะอยู่ในช่วงวิกฤติ ขณะที่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจของไทยยังคงส่งผลต่อการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งในปี 2565 คาดการณ์ว่าการเติบโตจะดีขึ้นตามการกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง แต่เนื่องจากกิจการท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังคงหายไป ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อไม่สามารถกลับมาสู่ภาวะปกติได้ในระยะสั้น ทำให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ด้วยความมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรม  ที่อยู่อาศัย ภายใต้สินค้าที่หลากหลายครอบคลุมทุกกลุ่มความต้องการ แบ่งเป็น สินค้าที่อยู่อาศัยโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม รีสอร์ทหรูมาตรฐานระดับสากล และเดินหน้ารุกตลาดภูมิภาค ขยายการลงทุนในต่างประเทศ และขยายการเช่าเพิ่มขึ้น

“มองว่าที่อยู่อาศัยขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร ซึ่งอัตราการเกิดใหม่ในประเทศไทยมีน้อยลง ทำให้ที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างจำกัด ทำให้รายได้ SME รายได้ปานกลางค่อนข้างน้อยลดลง ทำให้บ้านค่อนข้างถูก สถาบันการเงินปล่อยกู้ยากขึ้น ขณะเดียวกันราคาที่ดินก็ปรับสูงขึ้น และมีจำนวนจำกัด ส่วนค่าก่อสร้างมีการปรับเพิ่มขึ้น จากวัสดุและน้ำมันมีการเพิ่มราคา ทำให้คนซื้อบ้านที่แพงขึ้น แต่มีข้อดีที่ยังเป็นปัจจัยบวกเพียงข้อเดียวคือดอกเบี้ยยังอยู่ในอัตราที่ต่ำ”นายประทีป กล่าว

โดยทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทย บ้านปรับราคาสูงขึ้น บ้านจัดสรร สูง 3-4 ชั้น จะมีมากขึ้น,บ้านจัดสรรต่างจังหวัดมากขึ้น,บ้านจัดสรร-ตากอากาศ -ผู้สูงวัยมากขึ้น โดยเชื่อว่าในปีนี้จะมีการพัฒนาบ้านระดับราคา 30-40 ล้านบาทมากขึ้น แต่การทำบ้านจัดสรรในต่างจังหวัดที่ผ่านมาถือว่าปราบเซียนมามาก จึงไม่สามารถที่จะพัฒนาได้ง่ายๆ ซึ่งบริษัทฯพัฒนามากกว่า 193 โครงการทั่วประเทศ ทำให้มียอดขายที่ดี แล่ะลูกค้าเชื่อมั่นในแบรนด์ โดยบ้านอาศัยในต่างจังหวัดจะเน้นออกแบบให้กึ่งบ้านตากอากาศมากขึ้น โดยในปีนี้จะมีการพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดเพิ่ม ได้แก่ ลำพูน นครสวรรค์ ฉะเชิงเทรา หัวหิน(ประจวบคีรีขันธ์) และนครปฐม

ส่วนตลาดคอนโดฯที่จอดรถจะเป็นตัวแปรสำคัญอีก ใน 5 ปีข้างหน้า เพราะจะมีรถไฟฟ้าไร้คนขับมากขึ้น ซึ่งคอนโดฯต้องออกแบบรองรับอนาคตด้วย

ด้านการพัฒนาโครงการในต่างประเทศ ที่ผ่านมาบริษัทฯได้เข้าไปลงทุนทั้งหมด 4 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย โดยเฉพาะออสเตรเลีย ปัจจุบันพัฒนาอยู่ 11 โครงการ และเร็วๆนี้จะพัฒนาเพิ่มเป็น 13 โครงการ เพราะการลงทุนในต่างประเทศไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อีกทั้งประชากรมีการเติบโต และกฎเกณฑ์ของรัฐดีกว่าในประเทศไทย และความต้องการที่อยู่อาศัยของแต่ละประเทศยังมีสูง ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มศักยภาพของบริษัท เพราะยังมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน

 

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม

 

 

ด้านนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI  กล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯเพื่อขายของบริษัทฯว่า ในปีที่ผ่านมารายได้มีการเติบโตเพียงเล็กน้อย จากเบสเดิมที่ต่ำมาก โดยตั้งยอดขายไว้ที่ 27,000 ล้านบาท เปิดตัวใหม่มูลค่ารวม 34,000 ล้านบาท แต่สามารถเปิดตัว 23 โครงการ รวมมูลค่า 24,790 ล้านบาท ซึ่งที่เหลือก็เลื่อนมาเปิดตัวในปี 2565 และรับรู้รายได้ที่ 28,000 ล้านบาท โดยเชื่อว่าในปี 2565 นี้ ตลาดแนวราบยังสามารถทำยอดขายได้ดี โดยผลมาจากบริษัทฯมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน (FINANCIAL STRENGTH)

ท่ามกลางวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลอดทั้งปี 2564 ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย และทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลง บริษัทฯได้ใช้ช่วงเวลานั้นพัฒนา ปรับปรุงสินค้าและบริการโดยยึดหลักลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ผสานการทำงานที่รวดเร็วแบบ Agile สร้างองค์กรยุคใหม่ที่เพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพในการทำงานมากขึ้น โดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาสินค้าและบริการ อีกทั้งสานต่อระบบ Online Booking ให้รองรับทั้งการขายแนวราบและอาคารสูง เพื่อรองรับวิถีชีวิตยุคดิจิตอลของคนรุ่นใหม่ รวมทั้งการสร้างนวัตกรรมที่อยู่อาศัยเพื่อสอดคล้องกับวิถีชีวิต New Normal เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ทำให้บริษัทฯก้าวผ่านสถานการณ์ต่างๆอย่างมั่นคง ส่งผลให้ผลงานในปีที่ผ่านมาเติบโตอย่างน่าพึงพอใจ โดยเฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมามีการเปิดตัวโครงการทั้งแนวราบ และคอนโดมิเนียม รวม 23 โครงการ มูลค่ารวม 24,790 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 21 โครงการ (กรุงเทพฯ และปริมณฑล 9 โครงการ, ภูมิภาค 12 โครงการ)  และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ

ขณะที่ในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขายในประเทศ 28,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 29,000 ล้านบาท โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 34 โครงการ แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 31 โครงการ  และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท และกำหนดงบประมาณการจัดซื้อที่ดิน 8,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ ตั้งมั่นก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาที่อยู่อาศัยทุกโครงการให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นดังที่ตั้งมั่นมาตลอด 33 ปี โดยมีเป้าหมายหลักคือการสร้างความพึงพอใจในระดับสูงให้กับลูกค้า ปรับปรุงและสร้างนวัตกรรมการทำงาน พร้อมพัฒนาศักยภาพของพนักงานทุกระดับในองค์กรผ่านการอบรมหลักสูตรต่างๆทั้งภายในและนอกองค์กร รวมทั้งกำหนดเป้าหมายการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมโดยกำหนดให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2565

“เราจะรุกแนวราบมากถึง 88% ส่วนคอนโดฯก็ยังมีการเปิดตัวอยู่ แม้ว่าการเติบโตจะไม่ได้มากนัก เชื่อว่าหากพัฒนาในทำเลที่ได้รับความสนใจ และเติมซัพพลายไป เชื่อว่าตลาดก็จะกลับมาอย่างแน่นอน”นายไตรเตชะ กล่าว

นอกจากนี้บริษัทฯยังเปิดตัวแบรนด์บ้านใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้โดยทยอยเปิดตัวตั้งแต่ปลายปี 2564 แล้วถึง 4 แบรนด์ ซึ่งออกสตาร์ทกับโครงการแรกของปี 2565 กับแบบบ้านเดี่ยวใหม่ล่าสุด 3 แบบ 3 สไตล์ ระดับลักชัวรี่ ปักหมุดทำเลแรกบนถนนบรมราชชนนี “ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี121” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 34 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว 3 ชั้น ขนาด 112.4-114 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 20-30 ล้านบาท จำนวน 86 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท ล่าสุดได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า

 

 

toppercool

CEO,Prop2morrow Blogger อสังหาฯ , นักการตลาดดิจิตัล สาย Content marketing