กลุ่มจระเข้ฯ เตรียมรีแบรนด์ธุรกิจสีจระเข้ เพิ่มความชัดเจนสินค้า พร้อมปรับวิธีการขายใหม่ ตั้งเป้ายอดขายปีนี้แตะเพียง 50 ล้านบาท จากยอดขายรวมปีนี้เติบโตต่อเนื่องคาดไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท ชี้วิกฤติโควิด-19 สงครามรัสเซีย-ยูเครน กระทบต้นทุนการผลิต เร่งหาแหล่งผลิตวัตถุดิบสำรอง หลังจีนเข้มควบคุมโควิด
นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าตรา “จระเข้”นวัตกรรมเพื่องานก่อสร้าง ซ่อมแซมและตกแต่ง ครบวงจรตั้งแต่ฐานรากจนถึงหลังคา เปิดเผยถึงเทรนด์สินค้าที่เกี่ยวกับสุขภาพว่า ได้มองเห็นแนวโน้มดังกล่าวมา 2 ปีแล้ว ทำให้บริษัทฯต้องหาสินค้าที่ขยายตลาดมาสู่วงการสี เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้ากลุ่มนิชมาร์เก็ต แต่จะไม่เข้าไปแข่งขันในกลุ่มของธุรกิจสีในภาพใหญ่ โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แบรนด์จระเข้ ในกลุ่มของกาวซีเมนต์ และกาวยาแนว มีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง และที่ผ่านมาได้มีขยายโปรดักส์ไลน์พวกเคมีภัณฑ์ เช่น ก่อสร้าง การกันซึม และในปีนี้ จะมีการรีแบรนด์สีจระเข้ให้ชัดเจน เน้นช่องทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งเดิมวางเป้ายอดขายธุรกิจสีเต็มที่ 300 ล้านบาท แต่ปีนี้คงไม่ได้คาดหวังมากนัก เนื่องจากมีการรีแบรนด์ธุรกิจสีใหม่ ต้องมาปรับวิธีการขายใหม่ ทำให้วางเป้าขายไว้ที่ 50 ล้านบาทในปีนี้” นายศุภพงษ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในงานสถาปนิก’65 ครั้งล่าสุด บริษัทฯได้เปิดตัวสุดยอดนวัตกรรม SEE JORAKAY เป็นสีที่ทำมาจากธรรมชาติ 100 % รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย และยิ่งในช่วงวิกฤติโควิด-19 ผู้บริโภคหันมาสนใจผลิตภัณฑ์ที่ดีกับสุขภาพมากขึ้น รวมไปถึงสีทาอาคารอย่างกลุ่ม NATURAL COLOR ที่สามารถออกแบบตกแต่งได้หลากหลาย มีคุณสมบัติโดดเด่นในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เท่ากับต้นไม้ใหญ่ โดยในแผนการตลาด บริษัทฯจะมุ่งเน้นตามคอนเซ็ปต์ “จระเข้ร่วมกันปกป้องทั้งบ้าน ปกป้องอาคาร” ซึ่งจะเสนอขายโซลูชั่นให้กับลูกค้าอย่างครบวงจร
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรก จากแนวทางและกลยุทธ์ที่บริษัททำมาอย่างต่อเนือง ทำให้จระเข้ ยังสามารถรักษาฐานลูกค้าได้ ส่งผลให้ยอดขายในไตรมาสแรกเติบโต เช่น กลุ่มเคมีภัณฑ์โตเกือบ 30% ขณะที่ในภาพรวมยอดขายไตรมาสแรกเติบโตกว่า10%
ส่วนในเรื่องของการบริหารต้นทุนในการผลิตสินค้านั้น มีปัญหามาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ซึ่งมีทั้งเรื่องโควิด-19 ที่มีผลต่อในเรื่องซัพพลายดีมานด์ และมีปัญหาเรื่องต้นทุนการขนส่ง ปัญหาเหล่านี้กระทบมาอย่างต่อเนื่องถึงปัจจุบัน และยิ่งในสถานการณ์ตอนนี้ ได้รับผลกระทบหนักกว่าเดิม เนื่องจากเกิดสงครามระหว่างยูเครน-รัสเซีย มีผลกระทบต่อต้นทุน หรือแหล่งสินค้าที่บริษัทนำเข้ามาจากยุโรป ก็ได้รับผลกระทบ ขณะที่ในหลายปีที่ผ่านมา มีโรงงานเคมีภัณฑ์ได้มีการย้ายฐานการไปตั้งโรงงานที่ประเทศจีน และด้วยนโยบายการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ก็ส่งผลกระทบเช่นกัน
“การล็อกดาวน์ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ มีผลกระทบ เพราะสินค้าเคมีภัณฑ์จากเซี่ยงไฮ้มีการส่งออกมายังประเทศไทย หากจะไปหาแหล่งอื่น ก็จะมีต้นทุนขนส่งที่ไกลขึ้นแน่นอน ตรงนี้ ทุกคนกระทบหมด ต้นทุนยังขึ้นไม่หยุด และเป็นปัจจัยหลักที่เราจะให้ความสำคัญ โดยที่เรามีการบริหารซัพพลายเชน ทำงานใกล้ชิดประสานงานกับซัพพลายเออร์ให้มากขึ้น แต่ก็สุ่มเสี่ยงที่อาจจะสะดุดได้ ทำให้เราต้องหาแหล่งผลิตวัตถุดิบใหม่สำรองเพิ่มเติม เพื่อพยุงในเรื่องของการผลิต”นายศุภพงษ์ กล่าว
นายศุภพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯได้ขยายตลาดไปสู่การปกป้องงานโครงสร้างพื้นฐาน เป็นการต่อยอดจากงานโครงสร้างพื้นฐานเดิมที่มีอยู่ โดยครอบคลุมการใช้งานตั้งแต่ งานโครงสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง ทางยกระดับต่างๆ ไปจนถึงงานท่าเทียบเรือ ซึ่งเป็นเป้าหมายในการทำตลาดสำหรับในปีนี้
สำหรับในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการขายไว้ที่ 3,000 กว่าล้านบาท แต่ละปีจระเข้ เติบโตประมาณไม่ต่ำกว่า 10% และคาดว่าภายใน 3 ปีข้างหน้า ยอดขายจะเกือบ 4,000 ล้านบาท สัดส่วนของธุรกิจสีประมาณไม่ถึง 10% และคาดว่าถึงตอนนั้น มูลค่าตลาดสีพรีเมียมจะมีประมาณ 1,000 ล้านบาท.