บีบีแอล เผยเศรษฐกิจปี66 ยังเผชิญความผันผวน ชี้ FED คือต้นตอเจาะลูกโป่งคริปโตเคอร์เรนซี หุ้น และอสังหาฯ คาดจะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งในปี 68 ระบุวิกฤติสหรัฐฯไทยจะรับอานิสงส์เงินลงทุนกำลังไหลเข้าอาเซียน มีนักลงทุนได้รับการหนุนจาก BIO เข้ามาในประเทศมากสุดในรอบ 10 ปี พบ 3 อันดับแรกคือจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐ ด้านหอการค้าไทยในจีน คาดปีนี้จีดีพีจีนโตพุ่ง หันรุกอุตสาหกรรมใหม่ด้านนวัตกรรมมากขึ้น จับตาหลังการประชุม 2 ผู้นำ ไทยอาจได้รับอานิสงส์พลิกฟื้นเศรษฐกิจดีขึ้นในครึ่งปีหลัง ระบุพฤติกรรมคนจีนเปลี่ยนทุก 3 ปี ล่าสุดนิยมพาครอบครัวหาซื้อที่อยู่ขนาดใหญ่กว่าคอนโดฯขนาดเล็ก มั่นใจรัฐบาลจีนไม่หนุนกลุ่มสีเทา เชื่อประเทศไทยจะเป็นปีกระต่ายบิน
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือ BBL และประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยในงานสัมมนา ภายใต้หัวข้อ “มุมมองเศรษฐกิจไทยกับอสังหาริมทรัพย์ปีกระต่าย(บิน/…) ว่า เศรษฐกิจเดี๋ยวนี้อยู่ยาก ซึ่งอยู่ในยุคของความผันผวนของเศรษฐกิจอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน โดยเฉพาะ 2 เดือนแรกของปี 2566 ยิ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา การล้มของ 2 แบงก์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา คือ ธนาคาร Silicon Valley Bank หรือSVB และ Signature Bank ก็มีความกังวลใจ เพราะทุกอย่างไม่มีความแน่นอน โดยเฉพาะค่าเงินบาท มีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง
โดยในปี 2566 ยังเป็นปีที่เผชิญกับความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลพวงมาจากช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดโควิด-19 ในปี 2563 ที่มาจากการที่ระบบธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีการลดดอกเบี้ยลงเหลือ 0% และอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบอย่างมหาศาล เพื่อพยุงเศรษฐกิจ เพราะในตอนนั้นทุกคนต่างกังวลว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นจะเป็นการเกิด Great Depression ครั้งใหญ่ในรอบ 100 ปี ทำให้ต้องเร่งออกมาตรการเข้ามาพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นต้นตอของปัญหาที่ตามมาถึงปัจจุบัน
ซึ่งวิกฤติการล้มของ 2 ธนาคารในสหรัฐฯได้เกิดการขาดสภาพคล่อง ที่สร้างความวิตกกังวลให้กับคนทั่วโลก รวมถึงคนในอเมริกาที่แห่กันออกมาถอนเงิน จากความไม่มั่นใจในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น และมีโอกาสลุกลามเป็นลูกโซ่ ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการที่ FED ขึ้นดอกเบี้ยแรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดอกเเบี้ยในสหรัฐฯถือว่าปรับเพิ่มขึ้นเร็วในช่วงเวลา 1 ปี กว่า 4% และยังมีแนวโน้มที่จะขึ้นต่อไปอีก เพื่อสู่กับเงินเฟ้อให้เป็นไปตามเป้าหมายของ FED ทำให้เกิดปัญหาตามมา และสร้างความผันผวนต่อตลาดหุ้นที่ดัชนีต่างทิ้งดิ่งลงมา รวมถึงดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 ปรับตัวลงไป 50 จุด แม้ว่าจะไม่ได้มีผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรงก็ตาม แต่ก็เห็นการฟื้นตัวกลับมาเกือบเท่ากับที่ลงไป หลังนักลงทุนเริ่มทำความเข้าใจในสถานการณ์ได้มากขึ้น โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนภาพความผันผวนที่เกิดขึ้นในปีนี้ยังมีอยู่
“FEDได้สร้างลูกโป่งไว้ตั้งแต่ในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา เพื่อพยุงเศรษฐกิจ และก็สร้างลูกโป่งที่สำคัญที่พองโตขึ้น คือ เงินเฟ้อ ซึ่งเป็นศัตรูตัวสำคัญ ที่ FED จะต้องกดลงมา โดยการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง แม้ว่าจะเกิดปัญหาเกิดขึ้น แต่ FED ก็มีแนวทางออกมาเพื่อดามปิดโอกาสเกิดปัญหาเป็นโดมิโน่ไว้ จากที่เห็นเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา FED ประกาศออกมารับประกันเงินฝาก 100% และรับซื้อพันธบัตร เพราะเขายังต้องจัดการกับเงินเฟ้อต่อด้วยการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งเป็นการค่อยๆเจาะลูกโป่งทีละลูก หลังจากเจาะลูกโป่งคริปโตเคอร์เรนซี หุ้น และอสังหาฯ” ดร.กอบศักดิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตามแนวโน้มของทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯมองว่ายังคงเห็นการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 รายงานออกมาตามที่ตลาดคาด ซึ่งมีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่หากมาดูในส่วนของเงินเฟ้อพื้นฐานที่เป็นค่าจ้างของภาคบริการที่ยังปรับเพิ่มขึ้น 0.5% ถือเป็นปัจจัยที่ FED ต้องเดินหน้าในการจัดการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการกดเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ให้ลงมาตามเป้าหมายได้ ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐยังคงมีความจำเป็น และคาดว่าในการประชุมสัปดาห์หน้าจะยังคงเห็นการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯอีก และขึ้นต่อเนื่องในการประชุมรอบต่อไป ซึ่งถือว่าสวนทางกับการมองของตลาดที่เริ่มมองว่า FED จะผ่อนคลายการขึ้นดอกเบี้ยแล้วหลังจากเกิดการล้มของ SVB ทำให้อาจจะเห็นความผันผวนเกิดขึ้นได้อีกรอบ
“3 เดือนที่ผ่านมา เป็นปีกระต่ายน้อยที่น่ารัก แยกเขี้ยวตลอดเวลา ปัญหาเมื่อเข้าสู่วิกฤติหากเรามองไม่ทะลุ เราจะทำตัวไม่ถูก โดยวิกฤติรอบนี้เราได้ผ่าน Perfect Storm ไปแล้วประมาณ 1/3 คือแบ่งเป็น 4 ช่วง วิกฤติที่ FED สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 2563 จากวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กลัวเศรษฐกิจจะแย่ลง จึงได้เตรียมมาตรการอัดฉีดดอกเบี้ยเหลือ 0% และอัดฉีดสภาพคล่องไป 5 ล้านล้านบาท แล้วปัญหาสงคราม และเงินเฟ้อ ทำให้ดอกเบี้ยขึ้นเร็วกว่าที่คิด จะเห็นว่าทุกอย่าง FED เป็นผู้สร้างลูกโป่งขึ้นมา และก็ค่อยๆแตกทีละลูก โดยเฉพาะที่อยู่อาศัย จะทำให้ราคาอสังหาฯและค่าเช่าลดลง ซึ่งต้องไปปรับตราดอกเบี้ยขึ้น เพื่อไปลดความอ่อนแรงลง” ดร.กอบศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้อีกแนวทางหนึ่งที่ FED อาจจะต้องนำมาใช้เพื่อกดเงินเฟ้อให้ลดลง หลังจากที่ตลาดแรงงงานของสหรัฐฯยังมีความร้อนแรง ทำให้เงินเฟ้อที่สูงไม่จบลง่ายๆ สิ่งที่จะสามารถจัดการได้คือการทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเกิดภาวะถดถอย (Recession) ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อจากไป และเป็นการ Reset ทุกอย่าง หลังจากที่ FEDทำให้เงินเฟ้อลดลงมาได้ตามเป้าหมาย ซึ่งต้องทำให้เศรษฐกิจกลับมาซบเซา และถดถอยลง ส่วนการลดดอกเบี้ยของ FED อีกครั้งคาดว่าจะเห็นในปี 2568 อีกครั้ง หลังจาก FEDบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ และหลังจากนั้นค่อยลดดอกเบี้ยมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง
ทั้งนี้สหรัฐฯยังคงเสี่ยงที่จะเกิด Recession เพราะตลาดแรงงานที่ร้อนแรงยังไม่จบง่าย ทำให้เงินเฟ้อที่สูงไม่จบ FED จะต้องเชิญ Recession เข้ามาจัดการให้เงินเฟ้อจากไป และ Reset ทุกอย่าง ก่อนกลับนโยบายมาลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่อาจจะเห็นอีกครั้งในปี 2568 ทำให้ระหว่างทางอาจจะยังเห็นวิกฤติอื่นๆที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ จากผลกระทบการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของ FED และยังคงมีความผันผวนต่อเนื่อง
“เรากำลังเข้าสู่เศรษฐกิจเริ่มซบเซาหรือถดถอยอย่างต่อเนื่อง แต่จีนจะช่วยให้เราหายใจได้ดีขึ้น โดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเดือนล่าสุด พบว่าธุรกิจการส่งออกตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2565 ได้ลดลงมาที่ 13% ซึ่งต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤติโควิด-19 แม้ว่าการท่องเที่ยวจะเริ่มฟื้นตัวแล้วก็ตาม แต่เงินลงทุนกำลังไหลเข้าอาเซียน ซึ่งไทยจะได้รับอานิสงส์จากการที่จะมีนักลงทุนเข้ามาในประเทศ โดยมีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BIO)ซึ่งมากสุดในรอบ 10 ปี โดย 3 อันดับแรกคือจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐ”ดร.กอบศักดิ์ กล่าว
ด้าน ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการ หอการค้าไทยในจีน กล่าวว่า ปี 2565 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนเติบโต 18% ของจีดีพีโลก และในปีนี้จีนจะเติบโตมากจากที่หลายฝ่ายคาดคิด และจีนมุ่งมั่นที่จะพัฒนาหรือเติบโต โดยใช้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง พัฒนาทุกมิติอย่างมีคุณภาพสูง ซึ่งต่ออนาคตอุตสาหกรรมสิ่งทอจะถูกดูดกลับมาประเทศไทย เพราะค่าจ้างและสวัสดิการแรงงานจีนสูงขึ้น เนื่องจากจะไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ด้านนวัตกรรมมากขึ้น และอยู่บนการวิจัยพื้นฐาน
“เพราะฉะนั้นเราต้องเกาะจีนให้ได้ ถ้าปีนี้สหรัฐฯลดเงินเฟ้อไม่ได้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีจะมีปัญหาแน่นอน ขณะที่จีนกลับลอยตัว เชื่อว่าจะมีปัจจัยเชิงบวกจากการประชุมระหว่างผู้นำจีนและรัสเซียในปลายเดือนมีนาคมนี้ ประเทศไทยอาจได้รับอานิสงส์พลิกฟื้นเศรษฐกิจดีขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 และเราจะเห็นจีนเดินอย่างมียุทธศาสตร์ในแต่ละจังหวะ ถ้าทุกอย่างสำเร็จ จะทำให้ภูมิรัฐศาสตร์ของโลกเปลี่ยน และจะทำให้ผู้นำจีนมีความโดดเด่นในเวทีโลกอีกระดับหนึ่ง”ดร.ไพจิตร กล่าว
ดร.ไพจิตร กล่าวเพิ่มเติมว่า จีนคือพันธมิตรรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย แต่ปัจจุบันเที่ยวบินไม่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวจากจีนและชาติอื่นๆได้เพียงพอ และยังมองไม่เห็นโอกาสในระยะเวลาอันใกล้ ที่ตัวเลขการส่งออกไทยเกินดุลการค้าประเทศจีนแต่อย่างใด อีกทั้งหลายคนกังวลใจจากการล้มละลายของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ จะทำให้สตาร์ทอัพและธุรกิจใหม่จะล้าหลังไป 10 ปี อาจทำให้ต้องพึ่งพาจีนมากขึ้น และจากนี้ไปจะทิ้งห่างไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ประกอบการไทยควรที่จะเรียนรู้และเรียนลัด เพราะแต่ละวันจะมีนักลงทุนจีนเข้ามาขอการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI วันละ 1-2 ราย ซึ่งจะนำเม็ดจากการลงทุนเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น และถือเป็นช่องทางการนำเม็ดเงินของจีนออกมาลงทุนนอกประเทศได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วย
สำหรับชาวจีนที่มาลงทุนในประเทศไทย จะไม่ต้องการหาซื้อคอนโดฯขนาดเล็กเหมือนเช่นในอดีต และจะเดินทางมาเป็นครอบครัว จากเดิมที่นิยมเดินทางมาคนเดียว ด้วยการมาร่วมทุนทำธุรกิจและส่งลูกมาเรียนในประเทศไทยมากขึ้น ดังนั้นต้องการหาซื้อที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่มากขึ้น ซึ่งอาจมีการกำหนดโซนนิ่งให้ชาวจีนเข้ามาอยู่อาศัย ไม่ใช่ทุกอย่างจะใช้ระบบใต้โต๊ะทั้งหมด และในอนาคตมองว่าชาวจีนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีมากถึง 300 ล้านคน และหากสมมติประชากรจีนกลุ่มนี้มาท่องเที่ยวและซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองไทย ประมาณ 10% ก็จะเห็นผลดีต่อภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยอย่างแน่นอน เพราะจีนมีเงินออมถึง 45% ขณะที่บางประเทศมีเงินออมประมาณ 25%” ดร.ไพจิตร กล่าว
“ส่วนเรื่องทุนจีนสีเทาซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนน้อยมาก จากทั้งหมด 1,400 ล้านคน และไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลจีนสนับสนุน ทำให้กลุ่มทุนจีนสีเทาพวกนี้หันไปดำเนินธุรกิจสีเทาในประเทศด้อยพัฒนาแทน และคิดว่าสิ่งต้องระมัดระวังคือต้องพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจีนในเชิงพฤติกรรมมีการปรับเปลี่ยนมากในทุก 3 ปี และพฤติกรรมทุนจีนเหล่านี้เมื่อมาอยู่ประเทศไทยนานๆก็จะชื่นชอบในวัฒนธรรมคนไทย จึงไม่ค่อยกลับประเทศจีน ทำให้มีธุรกิจต่างๆมาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งมองโอกาสในระยะยาว เชื่อว่าประเทศไทยจะเป็นเมืองวิเศษสำหรับนักลงทุนชาวจีน ซึ่งจะทำอย่างไรให้อัตราการออมของจีนมาลงทุนในประเทศไทยได้มากที่สุด ซึ่งเชื่อว่าปีนี้ประเทศไทยจะเป็นปีกระต่ายบินอย่างแน่นอน” ดร.ไพจิตร กล่าวในที่สุด