“โฮมโปร”เผยผลงานครึ่งปีแรก 2566 มีรายได้รวม 37,154.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,174.47 ล้านบาท รับปัจจัยบวกจากช่วงฤดูร้อน เมษายน-พฤษภาคม ค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในกลุ่มเครื่องทำความเย็นพุ่งสูงขึ้นกว่าปกติ อาทิ เครื่องปรับอากาศ พัดลม และ พัดลมไอน้ำ
นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการบริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร เปิดเผยถึงการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2566ว่า บริษัทมีรายได้รวม 37,154.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,174.47 ล้านบาท หรือ 9.34% รายได้หลักมาจากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ประกอบด้วย รายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 35,012.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,932.76 ล้านบาท หรือ 9.14%
ทั้งนี้เป็นผลมาจากในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย ค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม ส่งผลให้ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของบริษัท ในกลุ่มเครื่องทำความเย็น อาทิ เครื่องปรับอากาศ พัดลม และ พัดลมไอน้ำ เติบโตสูงขึ้นกว่าปกติ
อีกทั้งบริษัทยังได้มีการจัดแคมเปญ ‘เก่ามีค่า นำมาแลกใหม่’ หรือ ‘Trade-in’ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในการจำหน่ายสินค้า รวมทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืน โดยลูกค้าสามารถนำสินค้าชิ้นเก่า อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องปั๊มน้ำ เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ มาแลกรับส่วนลดในการซื้อสินค้าชิ้นใหม่ในประเภทเดียวกันได้ รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ทั้งช่องทางสาขา และออนไลน์ เพื่อกระตุ้นยอดขาย ได้แก่ กิจกรรม HomePro Expo 2023 ในช่วงไตรมาส 1 HomePro Super Expo ในช่วงไตรมาส 2 และกิจกรรม Double Day ในทุกเดือน
นอกจากนี้บริษัทยังมีรายได้ค่าเช่า 940.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124.96 ล้านบาท เป็นผลมาจากการจัดเก็บรายได้ค่าเช่าพื้นที่เช่าในสาขาของโฮมโปรและศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจได้มากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยว และมีรายได้อื่นๆอีก 1,201.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 116.75 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าทั้งในช่องทางสาขาและช่องทางออนไลน์
“ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2 มีแนวโน้มขยายตัว จากการบริโภคของภาคเอกชนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยปัจจัยหลักยังคงมาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีรายได้สูงขึ้นและเกิดการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น แต่ในช่วงปลายไตรมาส 2 ผู้บริโภคเริ่มมีความกังวลต่อผลกระทบจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางด้านการเมือง ที่มีความล่าช้าของการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ หลังจากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา”
ส่วนการขยายสาขาในไตรมาสที่ 2 ยังคงดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ โดยมีการเปิดสาขาเมกาโฮมใหม่ จำนวน 3 สาขา ได้แก่ สาขานครปฐม เชียงใหม่ และบางแสน รวมถึงมีการปิดโฮมโปร สาขาโลตัส บางแค เพื่อเตรียมเปิดสาขาใหม่สำหรับช่วงไตรมาส 3นี้ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน
ดังนั้น ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 บริษัทมีสาขาโฮมโปรทั้งหมด 86 สาขา โฮมโปรเอส 5 สาขา เมกาโฮม 24 สาขา และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย 7 สาขา